แนะนำ12 สถานที่ชิลๆ ในโตเกียว พลาดไม่ได้เลยที่เดียว

2155

แนะนำ12 สถานที่ชิลๆ  บทความนี้จะดูยาวไปซักนิดแต่รับรองไม่ผิดหวังสำหรับหลายคนที่กำลังไปโตเกี่ยวแน่นอน บทความนี้เรารวบรวมย่านเกิดใหม่ในโตเกียวที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่ชาวญี่ปุ่นเเละนักท่องเที่ยวต่างชาติ เราจะมาแนะนำกันว่ามีที่ไหนบ้าง ประกอบด้วย 12 สถานที่มี

1.Cat Street
2.ไกเอนมาเอะ
3.ไดกันยาม่า
4.คิชิโจจิ
5.จินโบโช
6.จิยูกาโอกะ
7.ชิโมะคิตะซาวะ
8.ทสึกิชิมะ
9.นาคะเมะกุโระ
10.ยานนาเซ
11.ยานากะ
12.อิบิซึ

 

1.Cat Street

สถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นนั้น เรียกว่ามีมากมายหลายสไตส์ แต่สำหรับย่านที่จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเหล่านักท่องเที่ยวผู้ไม่อยากจำเจกับสถานที่ท่องเที่ยวเดิมๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นถนนแห่งแมว หรือที่เราจะรู้จักกันในชื่อว่า Cat Street อันโด่งดังนั่นเอง

สำหรับบริเวณที่ตั้งของ Cat Street นั้นอาจจะหายากสำหรับนักท่องเที่ยว ผู้ไม่คุ้นเคยเส้นทาง หากแต่เพียงคุณทำตามที่เราจะอธิบายต่อไปก็ไม่น่าจะใช้เรื่องยากอะไรในการจะมาเดินช๊อปปิ้งที่ย่านนี้ เราจะเริ่มกันจากหน้าห้าง Bic Camera โดยถ้าหันหน้าออกไปทางถนนเมจิ จะไปฮาราจูกุก็ไปทางซ้าย เดินไปครู่เดียวก็จะผ่านโรงแรม Tokyu Inn เลยไปอีกนิดก็จะเจอสวนสาธารณะมิยะชิตะ(Miyashita Park) ให้คุณข้ามถนนตรงไปสู่สวนสาธารณะมิยะชิตะ พอใกล้จะสุดสวน ให้คุณมองไปยังฝั่งตรงข้าม จะเห็นถนนเล็กๆ เส้นหนึ่งแยกออกจากถนนเมจิไป ถนนนี้มีชื่อเต็มๆว่า Kyu Shibuya-River Street ลองดูป้ายดูก็ได้ นี่แหละคือที่ที่เราจะมาช็อปปิ้งดัน
อีกกชื่อหนึ่งของ Cat Street ก็คือ Kyu Shibuya-River Street ซึ่งเป็นชื่ออย่างเป็นทางการ แต่เราไม่แนะนำให้คุณเอ่ยชื่อนี้ในการถามทาง และเหตุที่มันได้ชื่อว่าอย่างนี้ ก็เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นย่านนี้จะเป็นย่านที่ค่อนข้างเงียบไม่พลุกพล่าน ซึ่งปัจจุบันหากเทียบกับย่านช็อปปิ้งอื่นๆ ก็ถือว่าเงียบกว่ากันอยู่มาก เมื่อความเงียบเข้าครอบคลุม ก็ทำให้เจ้าแมวเหมียวทั้งหลายออกมาอวดโฉมตามถนนกันอย่างมากมาย หรือพวกมันอาจจะคิดว่าเป็นถิ่นของมันหรือเปล่าอันนี้ก็ไม่อาจจะทราบได้ แต่จากการที่พวกมาออกมาบ่อยๆ เข้าก็มีคนถ่ายภาพไปโพสตามสื่ออย่างต่อเนื่องจนทำให้ถนนเส้นนี้ได้ชื่อเรียกง่ายๆ ตามเจ้าเหมียวทั้งหลายว่า Cat Street ย่านนี้จึงเด่นดังขึ้นมาพร้อมกับจำนวนแมวเหมียวที่เริ่มจะลดลงบ้าง

โดย Cat Street นั้นถือได้ว่าเป็นย่านฮิบๆ ชีคๆ อีกย่านก็ว่าได้ เพราะที่นี่จะมีร้านรวงแปลกๆ มาแทรกตัวอยู่เป็นระยะ โดยมีทั้งแบรนด์ระดับโลกและแบรนด์โลคอล ที่น่าจะเป็นที่หมายตาของนักช็อปชาวไทยที่สนใจในความสวยงามและแปลกตา อย่างร้าน 45rpm ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นที่โดดเด่นด้วยยีนส์สัญชาติญี่ปุ่นแท้ และโด่งดังข้ามโลกไปถึงนิวยอร์คและปารีส
สำหรับการเดินทางมา Cat Street นั้นก็ง่ายดายเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นทางเดียวกับที่มา ชิบูยะ โดยเราอยากจะเเนะนำให้คุณเดินทางโดยรถไฟสาย Yamanote Line เเล้วลงที่สถานี Shibuya เเวะทักทายกับเจ้า Hachiko ซักเล็กน้อย เเละสามารถใช้ Tokyu Line สาย Tokyu Den-en-toshi Line หรือจะเป็นสาย Tokyo Toyoko Line โดยลงที่สถานีชิบูย่า นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางโดยรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย G-Ginza Line หรือ สาย F-Fukutoshin Line หรือ สาย Z-Hanzomon Line โดยลงที่สถานี G01/F16/Z01-Shibuya หลังจากนั้นก็ไปตามทางที่เราได้บอกไปแล้วตอนต้น

 

2.ไกเอนมาเอะ

ความจำเจของแหล่งท่องเที่ยวในญี่ปุ่นนั้น อาจทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองหลวงอย่างโตเกียว อาจต้องการความแตกต่างที่ฉีกแนวออกไป และคราวนี้เราก็อยากจะนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่น่าสนใจอย่างย่าน ไกเอนมาเอะ ที่สุดแสนจะชิล แถมมันยังได้รับการโหวตให้เป็นสถานที่ชมดอกซากุระบานอีกแห่งของโตเกียวที่มีความสวยงามเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

โดย Gaienmae นั้นก็แสนจะเดินทางมาได้อย่างง่ายดายขอเพียงแค่คุณลงจากสถานีรถไฟไกเอนมาเอะ แล้วเดินต่อบนถนนโอโมเตะซันโด (Omotesando) โดนจุดนี้คุณเริ่มได้สัมผัสกับความโรแมนติกแห่งฤดูใบไม้ร่วงที่ไม่เหมือนใครเลยทีเดียวและสิ่งที่ปรากฏอยู่ระหว่างทางเดินของถนนสายไกเอ็นมะเอะใจกลางกรุงโตเกียว โดยตลอดสองข้างทางเรียงรายไปด้วยต้นแปะก๊วยที่มีอายุกว่า 100 ปี เอกลักษณ์แห่งความคลาสสิกของถนนสายนี้ก็คือใบแปะก๊วยในฤดูนี้จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองอร่ามงดงามตลอดเส้นทาง

แต่ถ้าใครจะเอะใจซักนิดว่าการมาเดิน แถว ไกเอนมาเอะ มันรู้สึกคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เราก็บอกได้เลยว่าสถานที่ที่คุณกำลังเดินนั้นเคยเป็นฉากหลังของซีรีย์ญี่ปุ่นหลายต่อหลายเรื่องมาแล้ว จึงทำให้มันเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวประเภทตามรอยซีรีย์ไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากที่คุณเดินชื่นชมธรรมชาติที่สวยงามของ Gaienmae ทั้งสองฝั่งถนน คั่นด้วยสปอร์ต พาร์คหลายจุด และร้านค้าอีกสารพัดให้เดินช๊อปอย่างหนำใจแล้ว หากเดินต่อไปเรื่อย ๆ ถนนเส้นนี้จะพาคุณไปถึงศาลเจ้าเมจิ หรือเลยไปถึงย่านฮาราจุกุ และสถานที่เที่ยวสำคัญ ๆ อีกหลายแห่ง เรียกว่าสามารถเดินชมโตเกียวแบบย่อมๆ ได้เลย แต่ถ้าเริ่มท้องร้องเพราะหิวหรืออยากนั่งดื่มด่ำบรรยากาศในแถบ ไกเอนมาเอะ แล้วล่ะก็ ที่นี่ก็มีคาเฟ่เก๋ ๆ และร้านอาหารราคากลาง ๆ ที่ตกแต่งได้สมกับเป็นช็อปปิ้งสตรีทแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียว ให้คุณ ๆ ได้เลือกช็อปเลือกชิมกันตามใจชอบ โดยในย่านนี้จะมีสินค้าประเภทแบรนด์เนมอยู่มากให้คุณได้เลือกสรรกันทั้งแบรนด์นอกและแบรนด์ของญี่ปุ่นเอง นอกจากจะได้ดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติกลางโตเกียวแล้ว ยังอาจจะได้เสียเงินเพราะช็อปสินค้าแบรนด์เนมขึ้นชื่ออีกด้วย แบบนี้ใครจะมาเดินย่านนี้เราแนะนำให้เตรียมเงินมาตุงๆ ในกระเป๋าจะเป็นการดีที่สุด

สำหรับการเดินทางมายัง ไกเอนมาเอะ นั้น คุณสามารถนั่งรถไฟใต้ดินของ Tokyo Metro สาย G-Ginza มาลงที่สถานี Gaienmae ต่อจากนั้นให้เดินต่ออีก 5 นาที ก็ถึงแล้ว

 

3.ไดกันยาม่า

หากจะว่ากันแล้วสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่ระยะหลังเริ่มเดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองกันมากขึ้น น่าจะเริ่มรู้จักกับย่านช็อปปิ้งชิคๆ แห่งหนึ่งในโตเกียว ที่มีสไตส์เป็นของตัวเอง จนกลายเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวชมมากขึ้นอย่าง ย่าน ไดกันยาม่า ที่คุณจะพบกับชาวโตเกียวมาเดินเล่นชิลๆ ในวันหยุด

สำหรับ Daikan yama ถือเป็นย่านช๊อปปิ้งเกิดใหม่ที่รวบรวมร้านรวงสไตส์เท่ห์ๆ แบบ ไดกันยาม่าสไตส์เอาไว้ พร้อมกับร้านแบรนด์เนม และโลคอลแบรนด์ มากมาย ให้คุณได้เลือกสรรสินค้ากันอย่างจุใจเลยทีเดียว พร้อมกับร้านขนม หรือคาเฟ่ชิคๆ อีกมากมาย ชนิดที่เดินทั้งวันก็ไม่เบื่อ โดนมันจะแทรกตัวอยู่ในชุมชนเขตชานเมืองของโตเกียวที่ไม่ค่อยจะพลุกพล่านมากนัก ถือเป็นอีกสไตส์ของการช๊อปปิ้งสำหรับใครที่ไม่ชอบคนเยอะๆ อยากจะลองเลือกของนานๆ หน่อย สบายๆ ชิลๆ ต้องที่ไดกันยาม่าเลย

ร้านรวงภายใน ไดกันยาม่า นั้นก็มีหลายร้านมากมายที่เป็นแบรนด์เนมทั้ง EVISU, PAUL Smith,Onitsuka Tiger และ adidas โดยเฉพาะช๊อปของ Onitsuka Tiger ที่นี่จะมีของครบทุกรุ่นทุกไซส์ให้คุณได้เลือกสรรกันอย่างจุใจ แถมหากมาช่วงดีๆ ก็มีลดราคากันแบบสะใจอีกด้วย ซึ่งก็จะคล้ายๆ กับ Adidas ที่คุณสามารถพบกับรุ่นหายากๆ ในเมืองไทยได้อย่างง่ายๆ แถมยังลดราคาอีกต่างหาก นอกจากนี้แล้วสาวกของตุ๊กตา blithe ก็ไม่ควรพลาดกับ ร้านที่มีตุ๊กตาแบรนด์นี้ให้เลือกอย่างมากมาย ส่วนที่เป็นร้านที่มีสินค้าผลิตออกของไดกันยาม่าก็ต้องร้านนี้เลย Mr.Friendy ที่ขายกระเป๋าผ้าและเสื้อผ้าที่ผลิตขึ้นที่นี่ โดยมีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือจะเป็นร้านอย่าง OKGO Tokyo ที่ขอแนะนำไว้ และร้านขายซีดีอย่าง Bonjour records ก็น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

นอกจากนี้แล้ว Daikan yama ยังมีร้านคาเฟ่ และร้านขนมชื่อดังมากมาย ที่สามารถให้คุณได้เข้าไปลิ้มรสชิมของอร่อยๆ กันอย่างตลอดแนวทั้ง Le Cordon Bleu หรือร้านโบว์สีฟ้า อันโด่งดังที่เป็นร้านเก่าแก่ มีชื่อเสียงมาเป็นร้อยปี เกี่ยวกับการทำอาหารฝรั่งเศส และที่นี่ยังเป็นโรงเรียนสอนการประกอบอาหารที่มีชื่อเสียงอีกด้วย หรือว่าจะเป็นร้านขนมอร่อยอย่างร้าน EATALY ก็น่าสนใจไม่น้อย และยังมีร้านคาเฟ่ เท่ห์ๆ ทั้งแบบตกแต่งแบบอาร์ตๆ หรือจะนั่งสบายๆ รับลม ชิลๆ ก็มีให้คุณได้เลือกกันอย่างจุใจ
โดยการเดินทางมายังย่านไดกันยาม่า นั้นให้คุณนั่งรถไฟสาย Toyoko line มาลงที่สถานี Daikanyama จากนั้นเดินออกมาให้สังเกตหาต้นไม้เหล็กสีเขียวใหญ่ๆ ก็ถือว่าคุณได้เดินเข้ามาสู่โลกช็อปปิ้งสไตส์ชิคๆ แล้ว

 

4.คิชิโจจิ

คงจะมีนักท่องเที่ยวหลายๆ คนที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วอยากจะสัมผัสกับรรยากาศแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร หรือแหล่งชิลๆ ที่ไม่มีอยู่ในไกด์บุคใดๆ และแน่นอนเลยว่าโตเกียวเมืองใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ก็มีย่านแบบนี้อยู่มากมาย เพียงแต่หลายๆ คนยังไม่รู้เท่านั้นเอง และคราวนี้เราก็ขอเสนอย่าน คิชิโจจิ ที่มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

โดยย่าน Kichijoji นั้นถือว่าเป็นย่านการค้าที่สำคัญอีกเเห่งของกรุงโตเกียว เเต่อาจจะไม่ใช่เเหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะรู้จักกันมากนัก เพราะมันไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในโปรเเกรมทัวร์ใดๆ เลย โดยความน่าสนใจของย่านนี้ก็มาจากการที่เป็นเเหล่งขายสินค้าหลากหลายประเภทในราคาที่ย่อยเยาว์ เเละบางร้านจะมีสินค้าที่หายากจำหน่ายอยู่ด้วย พร้อมกันนี้ก็มีร้านขายทั้งอาหารสดเเละอาหารญี่ปุ่นเเบบนั่งกินข้างทาง โดยจะเป็นร้านค้าเก๋ๆ เท่ห์ๆ ที่เเผงตัวอยู่ภายในย่านการค้าแห่งนี้ จึงทำให้มันกลายเป็นย่านที่น่าสนใจเพราะมีความหลากหลายทั้งทางด้านของสินค้าเเละราคา
โดยประวัติของย่าน คิชิโจจิ นั้นถือว่าน่าสนใจอย่างมาก เพราะในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงใหม่ๆ มันเป็นเเหล่งตลาดมืดสำหรับขายสินค้าต่างๆ ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นอย่างทุกวันนี้ โดยหากเดินออกมาจากสถานีคิชิโจจิ เราก็จะพบกับ Harmonica Yokocho ถัดเข้าไปอีกซักนิดก็จะเป็นศูนย์การค้ากลางแจ้งแต่มีหลังคาปกคลุมเรียกว่า Sun Road และ Daiyagai แต่ถ้าเดินตามถนนเฮอิวะไปทางซ้ายก็จะเจอห้างสรรพสินค้า Parco โดยสำหรับตรอก Harmonica นั้นจะเป็นพื้นที่เล็กๆ ที่มี สี่ซอยด้วยกันเเต่อัดเเน่นไปด้วยร้านค้าเเละร้านอาหารที่น่าสนใจมากมายกว่า 90 ร้านเลยทีเดียว โดยในเเต่ละซอยจะมีความกว้างเเค่วาเดียวตามมาตรฐานการวัดเเบบไทยๆ
ทางด้านของร้านอาหารที่น่าสนใจในย่าน Kichijoji นั้นเราอยากจะเเนะนำร้านเด็ดๆ ที่ไม่ควรพลาดอย่าง ร้านที่ชื่อว่า Satou Niku ซึ่งเป็นร้านขายเนื้อสดในด้านล่าง เเต่อย่าเพิ่งตกใจเพราะทางร้านนี้ยังนำเนื้อมาทำอาหารสำเร็จขายหลายๆอย่างอีกด้วย มีทั้ง Beefkatsu ซึ่งก็คือเนื้อวัวชุบเศษขนมปังทอด พรือจะเป็น Tonkatsu ซึ่งเป็นเนื้อหมูชุบเศษขนมปังทอด นอกจากนี้ยังมี Kushi-katsu ซึ่งก็คือเนื้อหมูเสียบไม้ชุบเศษขนมปังทอด เเละ Gyu Kushi-katsu ซึ่งเป็นเนื้อวัวเสียบไม้ชุบเศษขนมปังทอด เเละยังมี Menchikatsu ซึ่งเป็นเนื้อวัวบดปั้นเป็นก้อนชุบเศษขนมปังทอด นอกจากนี้ยังมี เนื้ออบ หมูอบ อีกด้วย เเละที่เด็ดสุดต้องเป็นเนื้อมัทสึซาะกะมาทำเป็นอาหารสำเร็จขาย โดยเอาไปทำเป็น Menchikatsu ขายกันในราคาลูกละ 180 เยนเท่านั้นเอง เเละในส่วนชั้นสองของร้านนั้นยังเป็นร้านสเต็กอีกด้วย ซึ่งเราเเนะนำให้ลองไปชิมดูเลยเเล้วคุณจะติดใจ โดยเรื่องราคานั้นขอบอกว่าย่อมเยาว์อย่างมาก

โดยการเดินทางมายัง คิชิโจจิ นั้นคุณสามารถใช้บริการของรถไฟสาย JR Chuo จากสถานีชินจุกุ มาลงที่สถานี คิชิโจจิ หรืออีกเส้นทางก็คือโดยสารรถไฟสาย Keio Inokashira ก็สามารถมาลงที่ สถานี คิชิโจจิ ได้เช่นกัน โดยให้ออกทางออกที่ 2 ก็จะถึงแล้ว

5.จินโบโช

สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะเที่ยวตามไกด์บุคหรือที่แนะนำกันแบบปากต่อปากซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอยู่แล้ว แต่จะดีไม่น้อยเลยทีเดียวถ้าเราสามารถไปท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจที่ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก โดยในโตเกียวนั้นก็มีสถานที่ที่น่าสนใจอย่าง จินโบโช ที่เป็นเหล่งค้าของเก่าชื่อดังของกรุงโตเกียว แต่สำหรับนักท่องเที่ยวแล้วมันแทบจะเป็นเมืองลับแลเลยทีเดียว

ย่าน Jimbocho นั้นมีประวัติที่น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะชื่อของมันตั้งตามชื่อของซามูไรคนหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่บริเวณนี้ในศตวรรษที่ 17 นามว่า นากาฮารุ จินโบ เเต่เเล้วพอเข้าสู่ปี ค.ศ.1913 เกิดไฟไหม้ใหญ่ในย่านนี้ ทำให้เเหล่งการค้าเดิมถูกเผาเกลี้ยงไม่มีเหลือ หลังจากนั้นศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยท่านหนึ่งนามว่า ชิกาโอะ อิวานามิ ก็ได้มาเปิดร้านขายหนังสือในย่านจินโบโชขึ้น เเละนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่พัฒนากลายมาเป็นสำนักพิมพ์ Iwanami Shoten publishing house ซึ่งหลังจากที่ท่านได้เปิดร้านหนังสือก็ทำให้มีพ่อค้ามาเปิดตามต่อมาอีกหลายร้าน จนย่านนี้พัฒนาไปเป็นย่านที่มีนักศึกษาเเละปัญญาชนของโตเกียวเเวะเวียนมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ย่านนี้กลายเป็นเเหล่งของการขายหนังสือขึ้นมาในสมัยนั้น เเละเมื่อมีการเปลี่ยนเเปลงของวงการหนังสือในญี่ปุ่นทำให้ย่านจินโบโชเปลี่ยนมาเป็นเเหล่งขายหนังสือมือสองที่หายาก เเละบรรดาของเก่า

สาเหตุหลักที่ทำให้ จินโบโช กลายมาเป็นย่านค้าหนังสือเเละของเก่าก็น่าจะเป็นเพราะจุดที่ตั้งของมันนั้นอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยดังๆ หลายแห่งทั้ง มหาวิทยาลัย Nihon, มหาวิทยาลัย Senshu, มหาวิทยาลัย Meiji, มหาวิทยาลัย Hosei เเละมหาวิทยาลัย Juntendo ซึ่งเเต่ละมหาวิทยาลัยก็เป็นที่มีชื่อเสียงระดับชาติทั้งนั้น โดยนอกจากจะมีร้านจำหน่ายหนังสือมือสอง, สิ่งพิมพ์, และวัตถุโบราณ เเล้ว ที่นี่ยังมีร้านคาเฟ่ชิคๆ เเฝงตัวอยู่ด้วย จึงเหมาะกับการเดินเล่นเลือกดูสินค้าเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนเลยว่าบรรยากาศของ Jimbocho ค่อนช้างจะเงียบสงบ ไม่ค่อยพลุกพล่านมีเเสงสีมากเหมือนกับย่านอื่นๆ ส่วนผู้คนที่เดินกันอยู่ในย่านนี้ส่วนใหญ่แล้วก็จะเกี่ยวข้องกับการศึกษาเเทบทั้งนั้น เพราะฉะนั้นบรรยากาศแบบนี้อาจจะไม่เหมาะกับกรุ๊ปที่มีวัยรุ่นวัยซ่าส์ซักเท่าใด เเต่หากเป็นคนที่ชอบหนังสือเเละของโบราณเเล้ว ย่านนี้ก็เหมาะสมกับคุณอย่างไม่ต้องสงสัยและควรค่าแก่การแวะมาเยี่ยมเยียนซักครั้ง

สำหรับการเดินทางมายัง ย่าน จินโบโช นั้นคุณสามารถโดยสารรถไฟสาย JR Chuo Line เเล้วลงที่สถานีรถไฟจิมโบโช จากนั้นเดินขึ้นไปอีกเพียง 2 นาทีก็จะเข้าสู่ย่านนี้เเล้ว โดยย่านนี้จะตั้งอยู่บริเวณจุดตัดระหว่างถนนยะสุกุนิ และถนนฮะกุซัน เหนือสถานีรถไฟจิมโบโช

 

6.จิยูกาโอกะ

หลายๆ คนที่เดินทางมาท่องเที่ยวญี่ปุ่น โดยเฉพาะในโตเกียวนั้น ต่างก็มีเหล่งช็อปปิ้งที่สนใจกันอยู่แล้ว แตะสำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่เหล่านักท่องเที่ยวอย่างเราๆ อาจจะไม่ค่อยรู้จักกันมากนักก็มีอะไรที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างย่าน จิยูกาโอกะ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของขนมหวานต่างๆ จนชาวญี่ปุ่นหลายๆ คนกล่าวกันว่าอาจจะเป็นการสืบทอดย่านขนมหวานต่อจากตลาดอาเมโยโกะก็เป็นได้

โดย Jiyugaoka เป็นเมืองหนึ่งภายใต้การปกครองของโตเกียว และอยู่ย่านชานเมืองของโตเกียว โดยมันมีความพิเศษที่เป็นสไตส์เป็นของตนเอง และได้รับการโหวตจากคนโตเกียวว่าอยากมีที่พักอาศัยอยู่ที่เมืองนี้มากที่สุด คุณอาจจะงงว่าเพราะอะไรผลโหวตจึงเป็นเช่นนั้น ถ้าเราจะบอกว่าก็เพราะเมืองนี้เต็มไปด้วยร้านค้าสินค้ากิ๊บเก๋ และแบรนด์เนม ร้านอาหารชั้นเลิศ ร้านบูติคที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง ร้านเครื่องเรือนสวยๆ สไตส์วินเทจ และร้านดอกไม้ รวมทั้งที่ร้านขนมหวานที่ขึ้นชื่อที่สุดของย่านนี้ที่มีมากมายหลายร้านแถวดังๆ ทั้งนั้นด้วย โดยรวมเบ็ดเสร็จแล้วจากการสำรวจพบว่ามีร้านทั้งหมดกว่า 1,500 ร้าน ซึ่งแต่ละร้านนี้ก็ตกแต่งมีสไตส์เป็นของตัวเอง แต่เมื่อมารวมกันอยู่ในเมืองแล้วกลับเป็นตรีมที่สวยงามและโรแมนติคสุดๆ ไปเลย จึงไม่ต้องแปลกใจหากคุณไปเดินเล่นแล้วจะพบกับคู่รักหนุ่มสาวจูงมือกันกระหนุงกระหนิง

หากคุณเดินทางมาที่เมือง จิยูกาโอกะ แล้ว เราขอแนะนำให้เดินเล่นบนถนนเส้นกลางเมืองอย่าง Jiyu Dori Green Street ซึ่งถนนสายสั้นแห่งนี้เปรียบ เสมือนหัวใจของเมืองที่สองข้างทางจะมีร้านค้ามากมายปะปนกันไปให้คุณได้เลือกชมเลือกหา หรือแม้แต่เลือกชิม และความพิเศษของถนนเส้นนี้ก็คือมันจะยิ่งโรแมนติดมากๆ เมื่อถึงฤดูที่ดอกซากุระบาน จนเป็นอีกสถานที่ที่หนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นนิยมมาชมดอกซากุระกัน
ไฮไลท์อีกอย่างของ จิยูกาโอกะ ก็ยังคงอยู่ที่ร้านขนมหวานที่มีมากมายหลากหลายร้าน และที่เราของแนะนำก็คือ Sweet Forest ซึ่งเป็นแหล่งรวมร้านขนมหวานจากเชฟขนมหวานชื่อดังหลายคนเลยทีเดียว ที่ให้เลือกชิมกันอย่างจุใจ นอกจากนี้แล้วยังมีทั้งร้านเค้ก ร้านโดนัท และขนมหวานอีกนานาชนิด รวมทั้งคาเฟ่ สไตส์ชิคๆ อีกมากมาย เรียกว่าหากใครเป้นพวกขาขนมหวานคงจะต้องชื่นชอบกับบรรยากาศสบายๆ แล้วยังได้ชิมรสชาติแบบสุดยอดแบบนี้ ความสุขก็อยู่ในมือของคุณแล้ว

การเดินทางมาที่เมือง จิยูกาโอกะ นั้นให้คุณนั่งรถไฟสาย Toyoko line มาลงที่สถานี Jiyugaoka แล้วเดินออกมาเพียง 5 นาทีก็จะเข้าสู่บรรยากาศของเมืองที่แสนจะโรแมนติคแล้ว โดยรถไฟสายนี้ยังพาไปย่านชิลๆ น่ารักๆ ในโตเกียวอีก ไม่ว่าจะเป็น Daikanyama, Nakameguro และ Denen Chofu อีกด้วย

 

7.ชิโมะคิตะซาวะ

ความแปลกใหม่ของการได้สัมผัสกับบรรยากาศการท่องเที่ยวที่ไม่จำเจ น่าจะความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวไทย เมื่อมาเที่ยวญี่ปุ่น และคราวนี้เราขอนำเสนอย่านฮิปๆ อย่าง ย่านชิโมะคิตะซาวะ หรือที่จะเรียกกันอย่างย่อๆ ว่า ชิโมะคิตะซึ่งเป็นย่านการค้าที่แฝงตัวอยู่ในย่านชุมชน จึงกลายเป็นเสน่ห์อีกอย่างที่ไม่ควรพลาดเมื่อคุณมาเที่ยวโตเกียว

ข้อมูลคร่าวๆ ของย่าน Shimokitazawa นั้น ก็คือมันเป็นย่านพื้นที่ชุมชมมาเเต่โบราณของโตเกียว สามารถย้อนได้เป็นถึงในสมัยเอโดะเลยทีเดียว เเละที่นี่จะมีชื่อเสียงทางด้านของการเเสดงเเละดนตรี โดยถือว่าเป็นเเหล่งรวมของวัยรุ่นที่สนใจทางด้านศิลปะเเขนงนี้ เเละเป็นศูนย์กลางของโรงละครเวที เเละสถานที่เเสดงดนตรีสด โดยมีโรงละครที่เก่าเเก่เเละชื่อดังอย่าง โรงละครฮอนดะ เกะคิโจ เป็นจุดเด่น นอกจากนี้เเล้วในระยะหลังๆ ยังมีร้านคาเฟ่ ชิคๆ ผุดขึ้นมาสอดเเทรกกับชุมชนอย่างน่าสนใจ ทำให้เราจะเห็นหนุ่มสาววัยรุ่นโตเกียว มาเดินเที่ยวกันอย่างชิลๆ โดยจะเเตกต่างกับย่านดังอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว

สำหรับย่าน ชิโมะคิตะซาวะ นั้นเป็นอีกบริเวณที่มีความน่าสนใจตรงจุดที่รถไฟสายโอะดะคิวและสายเคโอ อิโนะคะชิระมาตัดกัน เป็นรูปตัว X พอดิบพอดีทำให้เเบ่งพื้นที่ของย่านนี้ออกเป็นสี่โซนด้วยกัน เเละมีความเเตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดทั้งสี่โซนเลยทีเดียว โดยโซนที่คึกคักที่สุดก็ต้องยกให้โซนทางใต้ หรือ Shimokita South ที่จะพบกับร้านคาเฟ่ ชิคๆ เเละร้านรวงเเนวทันสมัยอยู่อย่างมากมาย ส่วนอีกโซนคือโซนตะวันออกนั้นถือว่าน่าสนใจที่สุดเพราะเป็นที่ตั้งของโรงละครในตำนานอันเก่าเเก่ของโตเกียวอย่าง Honda Theater และอีกโรงอย่าง The Suzunari รวมทั้งมีร้านหนังสือที่อินดี้สุดๆ อย่าง Village Vanguard ซึ่งก็อยู่ในโซนนี้เช่นเดียวกัน
โดยโซนที่มีความน่าสนใจเมื่อมาเยือน Shimokitazawa ก็คือโซนทางด้านเหนือ หรือที่เรียกว่า Shimokita North ที่คุณจะได้เห็นความเเตกต่างอย่างชัดเจนของเวลา เพราะจะมีร้านค้าสองยุคที่เปิดประชันกันให้คุณได้อมยิ้มเล่นๆ เมื่อยามเข้าไปเยือน ถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างของย่านชิโมะคิตะ ที่คุณจะได้สัมผัสเมื่อมาเยือน ส่วนอีกโซนที่เหลือคือโซนทางตะวันตก หรือ Shimokita West นั้นถือว่าเงียบที่สุดในบรรดาสี่โซนด้วยกัน เเละเเผงไว้ด้วยร้านค้าเก๋ๆ ร้านคาเฟ่เท่ห์ อยู่มากมายเหมือนกัน โดยการมาเยือนในย่านนี้เวลาเป็นเรื่องสำคัญที่สุดหากจะสัมผัสถึงบรรยากาศเเบบจริงจังเเล้วล่ะก็น่าจะใช้เวลาเป็นวันเลยทีเดียว เเต่รับรองว่าประสบการณ์ในการมาเที่ยวโตเกียวของคุณจะเปลี่ยนไปอย่างเเน่นอน

การเดินทางมายังย่าน ชิโมะคิตะซาวะ คุณสามารถเดินทางมาโดยรถไฟสายโอะดะคิว หรือ สายเคโอ อิโนะคะชิระมา เเล้วลงที่สถานี ชิโมะคิตะซาวะ โดยยึดจุดตัดของรถไฟเป็นเเกนหลัก

 

8.ทสึกิชิมะ

หลายคนที่เดินทางมาท่องเที่ยวญี่ปุ่น ก็เพื่อต้องการจะสัมผัสกับบรรยากาศของญี่ปุ่นแท้ แต่หากจะไปหาสถานที่ท่องเที่ยวแบบนั้นก้คงจะต้องไปแถวเมืองเก่าอย่าง เกียวโตหรือนารา แต่สำหรับในโตเกียวแล้ว ก็มีย่านเก่าๆ อย่าง ทสึกิชิมะ ที่สามารถทำให้คุณได้สัมผัสบรรยากาศเหล่านั้นได้ไม่ยากนัก แถมมันยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกด้วย

โดย Tsukishima นั้นเป็นเกาะที่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นมา มาเป็นเวลามากกว่า 100 ปีที่เเล้ว โดยดินที่ได้จากชุดช่องทางให้เรือสินค้าเข้ามาสู่อ่าวโตเกียว โดยนำดินเหล่านั้นมาถมจนกลายเป็นเกาะ ทสึกิชิมะ ขึ้นมา โดยมีเเม่น้ำสุมิดะล้อมรอบเเละที่นี่ก็ได้กลายร่างเป็นชุมชนชาวประมงใหญ่อีกเเห่งของโตเกียวในสมัยนั้น ซึ่งจะเห็นร่องรอยได้จากตลาดปลาทสึกิชิมะ โดยบนเกาะเเห่งนี้ยังมีย่านชุมชนโบราณสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสกลิ่นอายญี่ปุ่นดั้งเดิมอยู่ที่บริเวณตรอกรอบวัดสุมิโยชิ เรียกว่าสามารถมาเยี่ยมชมบ้านเรือนเก่าๆ ตั้งเเต่สมัยยุคเมจิได้เลยทีเกาะเเห่งนี้

สำหรับเกาะ ทสึกิชิมะ นอกจากจะเป็นที่สัมผัสบรรยากาศเก่าๆ ของชุมชนโบราณอีกเเห่งของกรุงโตเกียวเเล้ว ที่นี่ก็ยังมีชื่อเสียงอีกอย่าง คือ มอนจายากิ ซึ่งต้องบอกเลยว่ามันก็เป็นอาหารประเภทเดียวกับ อโคโนมิยากิ แต่จะมีลักษณะที่เหลวกว่า คล้ายกับออส่วน โดยที่นี่จะขึ้นชื่อเป้ฯอย่างยิ่งทั้งรสชาติเเละวัตถุดิบที่นำมาปรุงเป็น มอนจายากิ นั้นก็ได้มาจากบริเวณนี้ โดยมีทั้งผักสดๆ เเละปลาหมึกสดๆ จากอ่าวโตเกียว ทำให้หากชาวโตเกียวอย่างจะกิน มอนจายากิ ขึ้นมาต้องนึกถึง ทสึกิชิมะ เป็นที่เเรกเลยทีเดียว จนบนเกาะนั้นมีการทำถนนมอนจา หรือ Monjya street ขึ้นเพื่อรวบรวมร้านขาย มอนจายากิ ไว้ในที่เดียวกัน โดยคุณสามารถเลือกร้านที่สนใจเเล้วเข้าไปชิมได้เลยในสนราคาที่ไม่เเพงเลย เเละรสชาติถือว่าดีมากเลยทีเดียว
นอกจาก มอนจายากิ เเล้วที่ Tsukishima ก็ยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกมากมาย ทั้งบ้านญี่ปุ่นโบราณเมื่อ 100 กว่าปีก่อน หรือจะเป็นวัดสุมิโยชิ ที่ถึงจะเล็กเเต่ก็เป็นวัดของชุมชนที่มีอายุราว 100 กว่าปี ทำให้คุณจะได้เห็นวัฒนธรรมต่างของชาว ทสึกิชิมะ ได้อย่างชัดเจน เเละที่นี่ก็ไม่พลุกพล่านมากนัก สามารถเดินเล่นชิลๆ ได้อย่างสบายๆ

การเดินทางมายัง ทสึกิชิมะ นั้นให้คุณใช้รถไฟสาย JR Yamanote Line จากสถานีโตเกียว เเล้วมาลงที่ สถานี Yurakucho จากนั้นเปลี่ยนมาใช้สาย Yurakucho Line เเล้วมาลงที่สถานี Tsukishima โดยใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีก็จะถึงทสึกิชิมะแล้ง

9.นาคะเมะกุโระ

หากยังจำย่านชิลๆ ในโตเกียวที่น่ามาเดินเล่นเมื่อคุณมาท่องเที่ยวโตเกียวกันได้อย่าง ไดกันยาม่า มาคราวนี้เราก็มีอีกย่านที่อยู่ติดกันอย่าง นาคะเมะกุโระมานำเสนอโดยมันจะห่างกันแค่สถานีรถไฟเดียวเท่านั้นเอง สามารถเดินถึงกันได้ โดยสถานที่แห่งนี้จะเงียบสงบและเหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ชอบบรรยากาศเงียบๆ สงบๆ เมื่อมาท่องเที่ยวญี่ปุ่น

โดยย่าน Nakameguro นั้นจะตั้งอยู่บนถนนสายเล็กๆ ริมคลองที่มี ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า แม่น้ำเมะกุโระ แต่จากสภาพที่เห็นแล้วน่าจะเรียกว่าคลองมากกว่า โดยสองฝั่งของแม่น้ำเมะกุโระในช่วงเดือนเมษายนจะมีดอกซากุระบานสวยงามเป้นอย่างยิ่ง เพราะจะมีต้นซากุระขนาบข้างไปทั้งสองข้าง จึงทำให้ที่นี่เป็นอีกสถานที่เหมาะสมกับการชมซากุระเป็นอย่างยิ่ง และเนื่องจากเมื่อก่อนย่านนี้จะเป็นเพียงที่อยู่อาศัย แต่ในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมามีการมาเปิดออฟฟิสเล็กๆ ทางด้านการออกแบบในย่านนี้มากขึ้น โดยมีทั้ง สถาปนิก มัณฑนากร นักออกแบบ ศิลปิน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นใหม่ ทำให้ย่านนี้ก็ปรับตัวตาม โดยมีร้านกิ๊บเก๋มารองรับลูกค้าแนวนี้มากมาย
โดยร้านรวงในย่าน นาคะเมะกุโระ ที่น่าสนใจก็มีทั้ง ร้านหนังสือที่ชื่อว่า Cow Books ที่ได้รับการการันตีจากไกด์บุคระดับโลกหลายต่อหลายเล่มถึงความน่าสนใจในตัวของมันเอง ที่เป็นทั้งร้านหนังสือ ที่ให้คุณสามารถเปิดชมได้ก่อนจะตัดสินใจซื้อ โดยสามารถสั่งกาแฟมานั่งจิบพร้อมเปิดหนังสือไปชมได้เลย โดยหนังสือในร้านนี้ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือภาพเกี่ยวกับการออกแบบสะเป็นส่วนใหญ่ สำหรับพวกร้านเกี่ยวกับชองกินเราก็ขอแนะนำ ร้าน FRAMES ซึ่งขายอาหารแนวฟิวชั่น ที่น่าสนใจและรสชาติดีเลยทีเดียว หลังจากนั้นก็เป็นร้าน Johann ซึ่งเป็นร้านชีสเค้กที่ขึ้นชื่อเป็นอย่างยิ่ง
โดยการเดินทางมาที่ย่าน Nakameguro นั้นคุณควรจะมาในช่วงเวลา 11.00 น.เนื่องจากร้านในย่านนี้จะเปิดกันสายซักหน่อย ถ้าหากมาเช้าก็เดินชมคลองไปก่อน เพราะแทบจะไม่มีอะไรเปิดให้ชมเลยทีเดียว แต่สำหรับเวลาปิดนั้นก็ลองดูเวลาปิดในแต่ร้านกันดู เพราะบางร้านก็ปิดตอนตี 5 เลยก็มี
การเดินทางมายังย่าน นาคะเมะกุโระ นั้นให้คุณนั่งรถไฟสาย Toyoko line ลงที่สถานี Nakameguro จากนั้นให้คุณข้ามถนนยามาเตะ มาที่ฝั่งตรงข้ามแล้วเดินเลียบถนนเล็กๆ ที่ขนานกับทางรถไฟเข้าไปซักเล็กน้อยจะพบกับซุปเปอร์มาร์เกตของโตคิวที่อยู่ตรงหัวมุม ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นย่านนาคะเมะกุโระแล้ว

10.ยานนาเซ

นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างโตเกียวนั้น อาจจะมีหลายๆ คนเริ่มเบื่อกับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมกันแล้ว มาคราวนี้เราเลยอยากจะนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหญ่อย่าง ยานนาเซ ที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์สไตส์ญี่ปุ่น เเละดำรงไว้ซึ่งวิถีชีวิตของคนโตเกียวเเบบจริงๆ ให้คุณได้สัมผัสกันเลย

สำหรับย่าน Yanesen นั้นต้องบอกเลยว่าหากคุณจะหาชื่อนี้บนเเผนที่ในโตเกียว หรือ GPS ต่างๆ จะไม่มีวันพบอย่างเเน่นอน เพราะมันไม่มีชื่อนี้บนเเผนที่ เเละที่มาของ Yanesen นั้นมาจากการรวมตัวกันของกลุ่มคนใน 3 ชุมชนที่ต้องการจะยกระดับให้ย่านนี้เป็นเเหล่งท่องเที่ยวใหม่ของทั้งคนโตเกียวเเละนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมีย่าน ยานากะ (Yanaka), ย่าน นาซุ (Nezu) เเละย่าน เซนนากิ (Sendagi) โดยนำชื่อตัวเเรกของทั้งสามย่านมารวมกัน จึงเป็นคำว่า ยานนาเซ ขึ้นมา โดยจะมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขนม เเฝงตัวอยู่ในชุมชน เเบบที่เราต้องลองเดินไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับร้านเหล่านี้ เเละสินค้าของพวกเขานั้นน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
โดยร้านค้าเเรกในย่าน ยานนาเซ ที่เราอยากจะเเนะนำก็คือ ร้าน Isetatsu ซึ่งเป็นธุรกิจในครอบครัว โดยมีสินค้าจำพวกตุ๊กตากระดาษ ภาพพิมพ์สไตส์ญี่ปุ่น เเละยังจำหน่ายกระดาษที่ทำเองเเละเครื่องเขียน ซึ่งถือเป็นร้านเครื่องเขียนสไตส์ญี่ปุ่นเเท้ๆ ที่เเค่เข้าไปสัมผัสบรรยากาศก็ถือว่าคุ้มเเล้ว ข้ามฝากมาพบกับร้านขายเสื้อผ้าเเนววินเทจกับร้านอย่าง EXPO ที่ถือว่าน่าสนใจในดีไซน์เเบบเเฮนด์เมดทีเดียว ส่วนร้าน Yabusai Sousuke นั้นเน้นที่การจำหน่ายหมวกทำมือที่สวยงามเเละมีเพียงหนึ่งเดียว ส่วนร้าน Atelier SanUnKaiGetu จะเป็นร้านบูติคสไตส์ฮาวายให้คุณได้เลือกสรรกันอย่างสนุกสนาน

ส่วนใครที่มาเดินย่าน Yanesen เเล้วเกิดหิวขึ้นมาก็สามารถที่จะฝากท้องไว้ได้กับร้าน Yamanaka Ryokan ที่เป็นร้านอาหารสไตส์จีนให้คุณได้ลิ้มรสกัน หรือจะเป็นร้านอาหารเเนวสมุนไพรอย่าง Yakuzen Curry Jinenjo เเต่หากอยากลองชิมราเมงเเบบญี่ปุ่นเเท้ๆ เราก็ขอเเนะนำร้าน Kamachiku หรือจะเป็นร้านข้าวสไตส์ญี่ปุ่นอย่าง Kikumi Senbe ก็น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เเถมสุดท้ายเข้าศาลเจ้าขอพรก่อนกลับที่ศาลเจ้า Nezu Shrine Yanesen ที่เป็นของศาสนาชินโตที่มีอายุกว่า 300 ปีเข้าไปเเล้ว
โดยสำหรับการเดินทางมาย่าน ยานนาเซ นั้นอาจจะค่อนข้างยากเพราะอาจจะต้องอาศัยเเท็กซี่ เเต่เราขอเเนะนำให้คุณใช้รถไฟสาย JR Yamanote Line เเล้วลงที่สถานี Nippori จากนั้นเดินต่ออีกเพียง 7 นาทีก็จะเข้าสู่ย่านนี้เเล้ว หรือหากใช้รถไฟใต้ดิน Tokyo Metro Chiyoda Line ก็ลงที่สถานี Sendagi เเล้วเดินต่ออีก 8 นาที เท่านั้น

11.ยานากะ

หากยังจำกันได้เราได้เคยกล่าวถึงย่านท่องเที่ยวใหม่ของโตเกียวอย่าง ยานนาเว ไปแล้ว คราวนี้เราจะมาเจาะลึกกับอีกย่านที่น่าสนใจอย่างมากอย่างย่าน ยานากะ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบแหวกแนวไม่เหมือนใครกับประสบการฯสัมผัสย่านช็อปปิ้งแบบญี่ปุ่นขนาดแท้ เท่านี้ก็ทำให้การมาเที่ยวญี่ปุ่นของคุณมีสีสันขึ้นเป็นกอง

สำหรับย่าน Yanaka นั้นเรามาเริ่มกันเลยโดยเดินจากสถานีนิปโปริ ก็แนะนำให้เดินตรงมาที่ทางลาดซึ่งนำไปสู่บันไดทางลง ยุยะเกะ ดันดัน อันโด่งดังเเละเป็นจุดที่เขาว่ากันว่าตกมาชมพระอาทิตย์ตกที่โตเกียว ณ ที่นี่จะเวิร์กเเละโรเเมนติกเเค่ไหน คุณต้องลองมาสัมผัสกันเอง โดยชื่อภาษาญี่ปุ่นของบันไดนี้ก็เเปลว่า พระอาทิตย์ตกดินแสนสวย เเละมาเดินลงมาที่ทางเดินด้านล่าเเล้วคุณก็จะเข้าสู่ ยานากะกินซ่า ซึ่งเป็นถนนช็อปปิ้งที่ไม่ใหญ่โตมากนักเเถมยังให้บรรยากาศเดิมๆ ของโตเกียว โดยทั้งทางเดินเเละความกว้างของร้านค้าขายในบริเวณนี้จะมีขนาดเเค่ 2 เมตรเท่านั้นเอง โดยมีทั้งร้านขายของสด ร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ รวมๆ เเล้วก็ประมาณ 70 กว่าร้านเลยทีเดียว หากคุณสนใจอะไรก็เเวะเลือกซื้อหาสินค้าได้ในราคาที่ไม่สูงมากนัก

โดยสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของ ยานากะกินซ่า ก็คือย่านการค้านี้รอดพ้นจากการถูกบอมบ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว เเละมีการปรับปรุงให้ดูดีมากยิ่งขึ้น จึงเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมในย่านนี้จึงยังมีอาคารบ้านเรือนในเเบบเก่าอยู่อย่างมากมาย เราเเนะนำให้คุณเดินเล่นในย่าน Yanaka เป็นเเบบวงกลมเล็ก เพื่อไม่ให้เหนื่อยจนเกินไปนัก โดยพอพ้นจากย่านช๊อปปิ้งอย่าง ยานากะกินซ่า เเล้วหลังจากนั้นตลอดเส้นทางจะมีเเต่วัดเเละศาลเจ้าเเบบญี่ปุ่นดั้งเดิมให้ไหว้ขอพรหรือเก็บภาพสวยๆ เป็นที่ระลึกเเล้วก็จะวนกลับไปที่สถานีนิปโปริ
นอกจากนี้หากคุณเลือกที่จะเดินเล่นใน Yanaka โดยใช้ เส้นทางซากุระโดริ มันจะนำพาคุณไปสู่สุสานยานากะ หรือ Yanaka Cemetery ซึ่งเเต่เดิมจะเรียกว่า ยานากะโบจิ ซึ่งเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่สุดที่อยู่ใจกลางโตเกียว โดยมีมากกว่า 7,000 สุสานบริเวณนี้ เเต่ที่น่าสนใจที่สุดเห็นจะเป็นการตั้งอยู่ของสุสานตระกูลโตกุกาว่า ซึ่งเป็นตระกูลโชกุนที่ปกครองญี่ปุ่นในยุคเอโดะ เเละโชกุนคนสุดท้ายอย่าง Yoshinobu Tokugawa ก็หลับอยู่ที่นี่ด้วย โดยสุสานของ Tokugawa นั้นเป้ฯสุสานปิด คุณไม่สามารถเข้าไปขมด้านในได้ เเต่สามารถถ่ายภาพที่ด้านนอกได้

สำหรับการเดินทางมาในย่าน ยานากะ นั้นคุณสามารถนั่งรถไฟมาลงที่สถานีนิปโปริ หรือไม่ก็สถานีเซนดางิ หลังจากนั้นก็เดินเล่นกันได้ตามสบายเลย

 

12.อิบิซึ

นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวญี่ปุ่นนั้น แน่นอนเลยว่าโตเกียวน่าจะเป็นเมืองอันดับต้นๆ ที่หลายๆ คนจะมาเยือน และอีกย่านที่น่าสนใจในเมืองใหญ่แห่งนี้ก็คือย่าน อิบิซึ อันโด่งดังนั่นเอง

โดยย่าน Ebisu นั้นเป็นย่านหนึ่งในเขตชิบุยะ ถือกำเนิดมาจากการเป็นชุมชนรอบๆ อาคารของ Japan Beer Brewery Company ตั้งเเต่ปี พ.ศ. 2471 ซึ่งถือเป็นบริษัทเบียร์ที่มีความเจริญเเละเป็นที่นิยมในหมู่ชาวญี่ปุ่นเป็นอันมาก โดยบริษัทเบียร์ ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.2433 โดย Japan Beer ตั้งชื่อตามเทพเอิบิซึ หนึ่งในเจ็ดเทพแห่งโชคลาภของญี่ปุ่น โดยนำรูปองค์เทพเเละชื่อมาเป็นเเบรนด์ชองเบียร์ โดยสำหรับย่านนี้ที่ได้ชื่อว่า อิบิซึ ก็เพราะว่า Japan Beer สร้างสถานีรถไฟเพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งเบียร์ ย่านนี้จึงได้ชื่อตามสถานีรถไฟเเห่งนั้น ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงอยู่หลังจากที่ Japan Beer ได้จัดระบบองค์กรใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็น Sapporo Breweries Ltd. หลังจากที่โรงกลั่นเบียร์ถูกย้ายออกไปที่ชิบะเมื่อ พ.ศ. 2531 เเละพื้นที่เดิมของโรงกลั่นก็ถูกปรับปรุงเป็น Yebisu Garden Place

เนื่องจากย่าน Ebisu มีสถานีรถไฟที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนรถไฟของผู้ใช้บริการสายยะมะโนะเตะและฮิบิยะ จึงทำให้มีบาร์เเละร้านอาหารมากมาย ต้อนรับเหล่าซารารี่เเมนหลังเลิกงาน โดยมีทั้ง ร้านอาหารแบบ izakaya ไปจนถึงผับแบบอังกฤษ รวมถึง old-fashioned tachinomi bars ที่ต้องยืนกินเเละดื่ม ซึ่งหากคุณอยากจะสัมผัสถึงวิถีชีวิตของคนทำงานในโตเกียวว่าหลังเลิกงานเขาเป็นอย่างไรกัน ก็ไม่ควรพลาดย่านนี้เลย โดยคุณสามารถเดินมาที่ย่านเก่าซึ่งอยู่ถัดจากทางออกด้านตะวันตกของสถานีรถไฟ แยกออกจากถนนโคะมะสะวะ นอกจากนี้เเล้วยังสามารถไปชมวิวรอบกรุงโตเกียวได้ด้วยที่ชั้น 38 ของอาคาร Yebisu Garden Place Tower
โดยหลักๆ ของย่าน อิบิซึ นั้นจะอยู่รอบ Yebisu Garden Place และโรงแรม Westin เป็นหลัก โดยคุณสามารถเดินเท้าได้จากทางออกด้านตะวันออกของสถานีอิบิซึผ่านทาง Yebisu Skywalk โดยมีเเหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจทั้ง สำนักงานใหญ่ของ Sapporo Breweries หรือจะเป็นพิพิธภัณฑ์เบียร์อิบิซึ และ Tokyo Metropolitan Museum of Photography นอกจากนี้เเล้วที่นี่ยังเคยเป็นที่ตั้งของสำนักงานวงเกิร์ลกรุ๊ป ชื่อดังขวัญใจหนุ่มๆ ชาวไทยอย่าง วงอิบิซึ มัสแคทส์ (Ebisu Muscats) ที่รวบรวมบรรดา นางเอกหนัง AV กว่า 25 ชีวิต โดยเข้าๆ ออกๆ ผลัดเปลี่ยนกันมาสร้างความบันเทิงให้กับหนุ่มๆ ทั้งเอเซีย ก่อนที่พวกเธอจะประกาศเเยกวงกันไป เหลือเพียงตำนานเเละชื่อเสียงที่คู่กับย่าน อิบิซี

สำหรับการเดินทางมาย่าน อิบิซี นั้นคุณสามารถใช้รถไฟสาย JR ยะมะโนะเตะ หรือจะเป็นสายฮิบิยะ โดยลงที่สถานีอิบิซึ ก็ถึงเเล้ว ซึ่งสถานีรถไฟอิบิซึ นั้นได้ชื่อว่ามีคนญี่ปุ่นมาฆ่าตัวตายที่สถานีแห่งนี้มากที่สุด เพราะชื่อของสถานีที่หมายถึงเทพเจ้าองค์หนึ่งก็ทำให้เป็นแห่งดึงดูดของผู้ที่ต้องการจะปลิดชีพตัวเอง