6 เทคนิคที่นักลงทุนหุ้น มือใหม่ควรรู้ก่อนลงทุน
1.หุ้นคืออะไร
“หุ้นคืออะไร?” ผมเชื่อเหลือเกินครับว่าคำถามนี้น่าจะเป็นคำถามที่ติดอยู่ในใจใครหลายคนที่ไม่เคยหรือไม่รู้จักการเล่นหุ้นเพราะคำว่าหุ้นนั้นมักจะนิยมใช้กันวงการธุรกิจเป็นสำคัญซึ่งหุ้นนั้นความหมายที่แท้จริงแล้วก็มันก็คือหน่วยลงทุนที่แสดงความเป็นเจ้าของในการลงทุนธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งนั่นเองโดยหุ้นนั้นถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่มูลค่าประเภทหนึ่งที่สามารถใช้แทนเงินสดสำหรับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้นั่นเองครับ
อนึ่งการที่เราซื้อหุ้นหรือการถือหุ้นในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์นั้นก็เปรียบได้กับว่าเราได้เป็นเจ้าของร่วมลงทุนในธุรกิจนั้นๆ ซึ่งหากธุรกิจนั้นมีผลการดำเนินงานที่ดีทำให้มีผลกำไรหุ้นที่เราถือครองก็จะมีมูลค่าสูงขึ้นและในทางกลับกันหากผลการดำเนินงานของบริษัทหรือธุรกิจที่เราถือหุ้นหรือซื้อหุ้นนั้นแย่หรือมีข่าวลือในด้านลบก็จะทำให้หุ้นที่เราถือครองมีมูลค่าลดลงนั่นเองครับ
ในเล่นหุ้นให้ได้กำไรนั้นผู้เล่นต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการเล่นหุ้นเป็นอย่างดีเพราะไม่อย่างนั้นแล้วมีโอกาสที่จะขาดทุนจากการเล่นหุ้นมากกว่าได้กำไรซึ่งการที่หุ้นจะขึ้นหรือลงนอกจากจะดูที่ผลการดำเนินงานแล้วยังต้องดูปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วยเช่นสภาพเศรษฐกิจ สภาพสังคมและการเมืองในช่วงระยะเวลานั้นๆ รวมไปถึงยังต้องมีเทคนิกในการถือครองหุ้นให้ได้กำไรสูงสุดซึ่งเรื่องเหล่านี้หากสนใจก็สามารถหาอ่านได้ตามร้านขายหนังสือเล่นหุ้นทั่วไปครับ
2.เปิดบัญชีหุ้นทำอย่างไร
หลังจากที่เรารู้กันไปแล้วว่าหุ้นคืออะไรตอนนี้ผมเชื่อว่าหลายคนคงอาจจะอยากลองก้าวเข้ามาในโลกของการลงทุนที่เรียกว่าหุ้นกันบ้างว่ามันจะโหดร้ายหรือทำกำไรได้จริงมากน้อยแค่ไหน ซึ่งก่อนการเล่นหุ้นนั้นเราจำเป็นที่จะต้องมีบัญชีซื้อขายหุ้นกันก่อนดังนั้นในวันนี้ผมจึงขอนำเสนอวิธีเปิดบัญชีหุ้นกันครับว่าการเปิดบัญชีหุ้นนั้นเขาทำกันอย่างไร
ในการเปิดบัญชีหุ้นนั้นหากเป็นในสมัยก่อนต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก วุ่นวาย เพราะเราต้องติดต่อไปยังบริษัทที่เป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นเพื่อเปิดบัญชีโดยต้องเตรียมเอกสารต่างๆ ที่จำเป็นให้กับบริษัทตัวแทนซึ่งบริษัทตัวแทนจะส่งเอกสารไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพื่อตรวจสอบหากผ่านจึงจะสามารถเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นได้โดยขั้นตอนทั้งหมดเหล่านี้มักจะใช้เวลา 5-7 วันทำการซึ่งถือว่าช้าพอสมควร
แต่ในปัจจุบันด้วยนโยบายใหม่ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ต้องการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่ต้องการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นจึงให้ผู้ที่สนใจเปิดบัญชีหุ้นสามารถเปิดบัญชีหุ้นได้ที่ธนาคารพาณิชย์ทุกสาขาโดยใช้เวลาในการดำเนินทุกขั้นตอนเพียงแค่ 1 วันเท่านั้นโดยเอกสารที่ใช้ในการเปิดบัญชีหุ้นก็ไม่ได้มีอะไรมากมายเพียงแค่มีสำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สมุดบัญชีเงินฝากและสเตทเมนต์ย้อนหลัง 3-6 เดือนเท่านั้น เพียงแค่นี้เราก็สามารถเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นได้แล้วครับ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับวิธีการเปิดบัญชีหุ้นแบบง่ายๆ ไม่ยุ่งยากขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการเล่นหุ้นนะครับ
3.เริ่มเล่นหุ้นต้องใช้เงินเท่าไหร่
สำหรับบทความในตอนนี้ต้องถือเป็นอีกบทหนึ่งที่ค่อนข้างสำหรับสำหรับคนที่กำลังคิดจะก้าวเข้ามาเล่นหุ้นเพราะเป็นคำถามที่หลายคนนั้นอยากรู้ว่าหากคิดจะเล่นหุ้นแล้วต้องใช้เงินเริ่มแรกเท่าไหร่จึงจะพอเพียง
หากจะถามผมในเรื่องนี้แล้วผมเองต้องบอกว่าในการเล่นหุ้นนั้นไม่มีกฎข้อบังคับตายตัวว่าต้องใช้เงินในการเล่นเท่าไหร่ แค่ไหน เพราะเนื่องจากว่าหุ้นบ้างตัวนั้น 1 บาทก็สามารถซื้อได้ดังนั้นการที่จะดูว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการเล่นหุ้นจึงควรพิจารณาดูจากความพร้อมและความเหมาะสมเป็นหลักเสียมากกว่า
แต่อย่างไรก็ตามบรรดากูรูผู้เชี่ยวชาญด้านหุ้นและการลงทุนทั้งหลายได้มองไปในทิศทางเดียวกันว่าสำหรับคนที่ไม่เคยเล่นหุ้นมาก่อนการลงทุนเริ่มแรกควรอยู่ที่ประมาณ 5,000 – 10,000 บาทก่อนเพื่อที่ผู้เล่นจะได้มองทิศทางในการเล่นออกและหากเชี่ยวชาญแล้วก็สามารถเพิ่มเงินลงทุนได้ซึ่งเงินจำนวนที่ว่านี้ถือเป็นเงินลงทุนที่ไม่มากหากขาดทุนก็จะทำให้ผู้เล่นไม่รู้สึกเสียดายสักเท่าไหร่อีกทั้งหุ้นตัวใหม่ๆ ในปัจจุบันนี้ก็เริ่มลดปริมาณหุ้นเริ่มแรกลงมามากเพื่อให้นักลงทุนรายย่อยได้ซื้อซึ่งราคาขายเริ่มต้นก็จะอยู่ที่ประมาณ 5,000 – 10,000 บาทนั่นเองทำให้เราสามารถซื้อได้
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นจำนวนเงินลงทุนเริ่มแรกที่นักลงทุนเล่นหุ้นมือใหม่ควรลงทุนแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้ถือเป็นข้อตายตัวอาจจะลงทุนมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ตามงบประมาณที่เรามีและไม่เดือดร้อน
4.เล่นหุ้น TECHNICAL เป็นอย่างไร
การเล่นหุ้นเป็นเรื่องที่มีมานานมากแล้ว สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการหุ้นจะทราบดีว่าการเล่นหุ้นเป็นอย่างไร ต้องรู้จักอะไรบ้าง ต้องทำอย่างไรกับหุ้น ต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ซื้อ เมื่อไหร่ขาย รู้จักการเก็งกำไรและรู้จักที่จะเอาตัวรอดแบบไม่ขาดทุน
การเล่นหุ้นแบบ Technical เป็นอย่างไร
ซึ่งการเล่นหุ้นส่วนใหญ่ของนักเก็งกำไรทั้งหลายจะเป็นแบบ Technical แล้วการเล่นหุ้นแบบนี้เป็นอย่างไรเราลองไปทำความรู้จักกัน
การเล่นหุ้นแบบ Technical คือการติดตามการเคลื่อนไหวของหุ้นและราคาหุ้นจากการอ่านกราฟ ผู้ที่เล่นหุ้นแบบ Technical นี้ ต้องอ่านกราฟเป็น สามารถใช้อินดิเคเตอร์ได้ มีความเข้าใจในรูปแบบของราคาและแนวโน้มของราคาที่มีการขึ้นและลงได้อยู่ตลอดเวลา สามารถนำความรู้และความเข้าใจเหล่านี้มาประกอบการตัดสินใจในการซื้อหรือขายหุ้นได้อย่างถูกจังหวะ และสามารถทำกำไรได้มากกว่าการขาดทุน
วิธีการเล่นหุ้นแบบ Technical นี้ได้รับความนิยมจากนักเล่นหุ้นทั่วโลกมากพอ ๆ กับการเล่นหุ้นแบบวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เป็นการเล่นหุ้นแบบเล่นกับจังหวะเวลา การเล่นแบบนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก เพราะส่วนใหญ่มักเล่นแบบไม่สนใจราคา ถึงเวลาซื้อก็ซื้อ ถึงเวลาขายก็ขาย จะถูกจะแพงหรือจะได้กำไรมากน้อยแค่ไหนอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญ
อย่างไรก็ตามการเล่นหุ้นแบบ Technical นั้นต้องเป็นผู้ที่รู้จักและอยู่ในวงการหุ้นมานานพอสมควร จึงไม่ขอแนะนำให้มือใหม่เล่นหุ้นแบบนี้ เพราะถ้าไม่รู้จักเอาตัวรอด จากที่น่าจะได้กำไร อาจขาดทุนหมดเนื้อหมดตัว…
5.P/E P/BV ROE มีความสำคัญอย่างไร
หากให้พูดกันตามความเป็นจริงเราจะพบว่า การลงทุนมีปัจจัยหลายอย่างที่เราต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ ก่อนการตัดสินใจลงทุนผู้ลงทุนจึงต้องเรียนรู้ทุกอย่างที่อยู่ในระบบนั้น ๆ อย่างเข้าใจมากที่สุด ทั้งรูปแบบ ตัวแปร การดำเนินการ รวมถึงความหมายและสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่นักลงทุนจะมองข้ามไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ความสำคัญของ p/e p/bv ROE
หากใครได้ลงทุนในแนว VI จะต้องรู้จักอัตราสวนทางการเงิน คือ P/E ROA ROE และ P/BV เป็นอย่างดี ซึ่งตัวย่อเหล่านี้มีความหมายอย่างไรบ้าง เราลองไปดูกัน
- P/E ย่อมาจาก Price/Earnings per Share เป็นอัตราสวนระหว่างราคาหุ้นและกำไรต่อหุ้น ซึ่งหากบริษัทไม่เจริญเติบโต P/E จะหมายถึงระยะเวลาในการคืนทุน ดังนั้น P/E ยิ่งต่ำจึงถือว่ายิ่งดี
- P/BV ย่อมาจาก Price/Book Value เป็นการคิดจากส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) หารด้วยจำนวนหุ้น หากสามารถซื้อหุ้นได้ต่ำกว่า BV มากเท่าไหร่ (P/BV ต่ำ) ก็หมายความว่าเราสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท
- ROE ย่อมาจาก Return on Equity = Net Profit/Equity หรือกำไรสุทธิหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งก็คืออัตราผลตอบแทน ROE ยิ่งสูงถือว่ายิ่งดี
ทั้งหมดนี้คือความหมายของ p/e p/bv ROE ที่เราควรรู้ และสรุปได้ว่า
- P/E ยิ่งต่ำยิ่งดี
- P/BV ยิ่งต่ำยิ่งดี
- ROE ยิ่งสูงยิ่งดี
โดยทั้ง 3 ตัวนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจในการซื้อหรือขายหุ้น
ของนักลงทุนส่วนใหญ่ เพราะถึงแม้ว่านักลงทุนจะมองภาพรวมทั้งหมดและคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ อีกก็ตาม แต่ตัวแปรทั้ง 3 นี้ก็ไม่เคยถูกมองข้ามจากนักลงทุนที่จะสบความสำเร็จเลย
6.VALUE INVESTOR คืออะไร
สวัสดีครับนักลงทุนมือใหม่ทุกท่านในบทความนี้ผมจะมาอธิบายถึงคำศัพท์คำหนึ่งที่มักใช้บ่อยในวงการการเล่นหุ้นโดยคำๆ นี้เชื่อเหลือเกินครับว่าต้องผ่านหูผ่านตาหลายท่านอยู่บ่อยๆ แต่ก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรหมายความถึงอะไรดังนั้นในวันนี้เรามาทำความรู้จักกันกับคำๆ นี้ดีกว่าครับคำว่า VI
หลายคนอาจจะเคยได้ยินคนในวงการหุ้นพูดอยู่บ่อยๆ ว่าหุ้น VI แต่ความเป็นจริงแล้ว VI นั้นเป็นคำย่อมาจากคำว่า Value Investment โดยความหมายของหุ้น VI หรือหุ้น Value Investment นั้นก็คือหุ้นที่มีการลงทุนแบบเน้นคุณค่าโดยดูที่มูลค่าของหุ้นตัวนั้นๆ มากกว่าราคาของหุ้นที่มักผันผวนอยู่บ่อยๆ โดยการลงทุนในหุ้น VI นั้นผู้ที่ลงทุนจะมองว่าหุ้นตัวที่จะซื้อนั้นเป็นหุ้นที่สามารถทำกำไรให้ให้กลับผู้ซื้ออย่างแท้จริงในระยะยาวหรือไม่โดยอาจจะต้องมีการวิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัวออกมาว่าหุ้นตัวใดหรือกลุ่มใดที่เป็นกลุ่มที่ยั่งยืนจากนั้นจึงค่อยคิดลงทุนในหุ้นที่คิดว่าได้กำไรสูงสุดอย่างยั่งยืน
นอกจากคำว่า Value Investment แล้วก็ยังมีคำศัพท์อีกคำหนึ่งที่ควรรู้ก็คือคำว่า Value Investor ซึ่งคำว่า Value Investor นั้นเป็นคำที่เราใช้เรียกนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้น VI นั่นเองครับ
ต่อไปนี้หากมีใครพูดถึงหุ้น VI และผู้ลงทุนในหุ้น VI ที่เราเรียกกันว่า Value Investor แล้วขอให้เข้าใจตรงกันว่าหมายถึงการลงทุนและผู้ลงในหุ้นที่เพิ่มมูลค่าแบบยั่งยืนนั่นเองครับ